ลาออกครู มิติใหม่ กับโปสเตอร์คำคมสุดพีค ขยี้การศึกษาไทยตรงจุด คนไลก์รัว ๆ
สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านที่น่ารัก ได้มาพบเจอกันอีกแลัว กับแอดมินและทีมงานเพจสายบุญ เราจะคอยนำเสนอเรื่องราวดีๆ ให้ความใจโลงใจและมีประโยชน์แก่แฟนเพจทั้งหลายให้ท่านได้อ่านอยู่เป็นนิจนะคะ วันที่ชีวิตไม่ข าดทุน คือ วันที่ทำบุญ และให้อภัย วันที่ชีวิตมีกำไร คือ วันที่ตั้งใจทำความดี ฝากไว้เตือนใจนะคะ
ไ ว รั ลโปสเตอร์ลาออกครู สาดคำคมโดนใจ อย่ าให้งานเปลี่ยนเรา แต่เราควรเปลี่ยนงาน พร้อมเปิดใจเล่าที่มากว่าจะเป็นครู จนวันที่ถูกเรียกครูจริง ๆ กลับไม่เป็นดั่ งฝัน เผยหมดเปลือกระบบการศึกษาไทย ครูทำงานเอกส ารหนักกว่าสอนนักเรียน
วันที่ 4 มีนาคม 2565 โลกออนไลน์พากันกดไลก์กดแชร์โพสต์ลาออกของครูผู้ช่วยรายหนึ่ง มีการทำภาพโปสเตอร์ประกาศลาออก อย่ างเป็นทางการ สีสดใสสะดุดต า พร้อมประโยคเด็ดแสดงถึงความยินดีกับการลาออกจากอาชี พ ทำเอาชาวเน็ตแชร์จนเป็นไวรั ลเลยทีเดียว

โดยโปสเตอร์ดังกล่าวระบุข้อความว่า “อย่ าปล่อยให้งานเปลี่ยนเรา แต่เราควรเป็นคนเปลี่ยนงาน ขอกราบลาออกจากราชการ อดีตคุณครูสิริมาศ จันทรโคตร ในตำแหน่ง ครูผู้ช่วย ถึงไม่ได้เป็นครูในอาชี พ แต่เป็นครูในตัวตน (เนี่ย) มีผลอย่ างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 2565” พร้อมระบุว่า ขอแสดงความยินดี เอ๊ย ไม่ใช่ ตอนเข้าไม่ได้ทำ ทำตอนออกก็ได้ ควรไม่ควรแล้วแต่จะคิด
ณ โอกาสนี้ ข้าพเจ้าขอกราบขอขมาต่อคุณม ารด า บิด า ครูบาอาจารย์ ผู้บังคั บบัญช า เพื่อนร่วมงาน และท่านทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าได้เคยประม าทล่ ว งเกินต่อท่าน ทั้งทางก าย วาจา ใจ ทั้งต่อหน้าและ ลั บหลัง ทั้งที่มีเจตนาหรือไม่มีเจตนา ทั้งที่ระลึกได้และไม่ได้ก็ดี ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันขอท่านทั้งหลายจงอโหสิก ร ร มให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด และนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอความ สุ ข ความเจริญ ความสิริมงคล ทรั พย์สินเงินทอง จงมีแก่ข้าพเจ้าและครอบครัว สาธุจ้า
ทั้งนี้ อดีตคุณครู สิริมาศ จันทรโคตร อายุ 26 ปี ให้สัมภาษณ์ผ่าน Thai PBS ระบุว่า โปสเตอร์แบบนี้ปกติเขาจะทำกันตอนสอบได้ หรือได้บรรจุแต่งตั้ง เรารู้สึกว่าแปลกดีเลยลองทำดู ซึ่งประโยคแรกบนโปสเตอร์เห็นมาจากโซเชียลแล้วรู้สึกว่าเข้ากับเราดี แต่ประโยคล่ างเราคิดเองหมดเลย แล้วผลตอบรับคือ มีคนเข้ามาแสดงความยินดีกับเราเยอะมากก่อนจะมาเป็นครู จากคนไม่ชอบมาก่อน

โดย สิริมาศ เล่าชีวิ ต ของเธอให้ฟังว่า เติบโตมาในครอบครัวข้าราชการทั้งพ่อ แม่ และพี่ชายอีก 2 คน เรามีความรู้สึกว่าไม่ชอบ ระบบการศึกษาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน แต่เมื่อสอบเข้ามหาวิทย าลัยติดคณะศึกษาศ าสตร์ ก็ไม่สร้างกำแพงให้ตัวเอง และพย าย ามเรียนรู้อย่ างเต็มกำลังก่อนจะพบว่า การเรียนในมหาวิทย าลัยในหลักสูตรนวัตก ร ร มการศึกษาของประเทศญี่ปุ่น ทำให้รู้สึกดีกับอาชี พครูมากขึ้น พร้อมสร้างความหวังและความอย ากเป็นครูที่ดีให้นักเรียนในอนาค ต แต่ในวันที่ถูกเรียกว่า “ครู”
จริง ๆ กลับไม่เป็นอย่ างที่คิด ในวันที่ถูกเรียกว่า “ครู” เริ่มสอนในโ ร งเรียนขย ายโอกาสแห่งหนึ่ง มีครู 20 คน สอนนักเรียน 300 คน ตั้งแต่ชั้นอนุบาล 1 ถึง ม.3 ภารกิจหลักกลับไม่ใช่การสอนนักเรียน แต่เป็นการทำงานหลายหน้า ทั้งสอนควบวิช าวิทย าศ าสตร์ การดูแลงานพัสดุ และเอกส ารต่าง ๆ จนไม่ได้โฟกัสการสอนนักเรียน ทั้งที่เป็นหน้าที่หลักของครู งานเอกส ารกลายเป็นภาระ ที่หนักกว่าการสอน ทำให้มองว่าถ้างานพวกนี้สำคัญ ทำไมไม่บรรจุไปในหลักสู ตรตอนเรียนครูไปเลย เพราะไม่ใช่ทุ กคนจะทำได้
ครูรุ่นพี่ก็ไม่ได้พร้อมจะสอนเราทุ กคน ต้องเจอแบบนี้เรื่อย ๆ จนรู้สึกว่าระบบงานกำลังบั่ นท อ นเรา ขณะเดียวกัน การทำวิทยฐานะ เป็นอีกปัญห าใหญ่ที่สร้างภาระให้ทุ กตำแหน่งในโ ร งเรียน ตั้งแต่ผู้บริห ารไปจนถึงภ ารโ ร ง งานเอกส ารและการสร้างผลงาน กลายเป็นหินขนาดใหญ่ที่ทุ กคนต้องแ บ กไว้

ทั้งที่การประเมินงานแต่ละตำแหน่งมีวิธีประเมินอื่นอยู่แล้ว แต่ด้วยวัฒนธรรมองค์กร ที่คนทำตามคน ไม่ใช่คนทำตามระบบ คำว่า “ทำไปเถอะ นิดเดียวเอง” จึงกลายเป็นคำพูดที่ได้ยินบ่อย ๆ จนเริ่มชิน พอระบบไม่ดีพอ คนก็ไม่ทำตามระบบ แต่คนทำตามคนแทน ต่อให้ไปโ ร งเรียนไหนก็อาจเป็นเหมือนกัน เราไม่อย ากรอ 4 ปี เพื่อขอย้ ายโ ร งเรียน แล้วไปเ สี่ ย งดวงกับ ผอ. คนใหม่ หรือระบบในโ ร งเรียนอื่นอีก
ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Bee Jantarakote, Thai PBS เรียบเรียงโดย เพจสายบุญ